ข้อที่ 5 คำถามท้ายบท 4 ข้อ
1. Uncitral Model Law on Eletronic Commerce ( 1996 )คืออะไร มีสาระสำคัญอะไรบ้าง?
เป็นต้นแบบสำหรับประเทศที่ต้องการออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนการทำสัญญาทางอิเล็กทรอนิกส์ UNCITRAL Model Law on E-Commerce นี้ได้ขยายขอบเขตของความหมายคำว่า “ หลักฐานเป็นหนังสือ ” และ “ ลายมือชื่อ ” ให้ครอบคลุมถึงการบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และลายมือชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ UNCITRAL Model Law on E-Commerce มีอิทธิพลต่อการร่างกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในหลานต่อหลายบประเทศทั่วโลก ตลอดจนได้รับการยอมรับให้เป็นแม่แบบสำหรับประเทศที่ประสงค์จะร่างกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย
ในสหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 European Commission ได้จัดให้มีการจัดทำ Directtives เพื่อให้กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศสมาชิกภายในตลาดร่วม ( Internal Market ) มีความสอดคล้องกัน โดย Directtives ที่สำคัญสองฉบับคือ Electronic Commerce Directive และ Electronic Signatures Directive ซึ่งต่างได้รับอิทธิพลมาจาก
ส่วนประเทศร่วมค้าของไทยที่สำคัญอื่นๆ ก็ต่างบัญญัติกฎหมายสำคัญว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยอาศัยต้นแบบจาก UNCITRAL Model Law on E-Commerce
เช่น ประเทศมาเลเซียได้บัญญัติ Digital Signature Act ในปี พ.ศ. 2540, ประเทศสิงคโปร์บัญญัติ Electronic Transactions Act ในปี พ.ศ. 2541, ประเทศออสเตรเลียบัญญัติ Electronic Transactions Act ในปี พ.ศ. 2542 , เขตปกครองพิเศษฮ่องกงบัญญัติ Electronic Transactions Ordinance ในปี
พ.ศ. 2543 และ ประเทศแคนาดาบัญญัติ Electronic Transactions Act ในปี พ.ศ. 2544
2. ประเทศไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตหรือไม่?
มี กฎหมายไทยให้ความคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตการใช้งานของอินเทอร์เน็ตมิได้จำกัดอยู่เพียงการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเท่านั้น แต่เริ่มมีการทำธุรกรรม ระหว่างกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเกิดการค้าขายรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “พาณิชย์ทางอินเทอร์เน็ต ” (Internet Commerce) มีการคาดการณ์กันว่าภายในปี พ.ศ. 2543 มีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสูงราว 304 ล้านคน (Nua Internet Survey, มีนาคม 2543) ส่วนจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประมาณการณ์ว่ามีอยู่ถึง 3.5 ล้านคน จากการสำรวจของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ (มกราคม 2544) จะเห็นได้ว่าช่องทางดังกล่าวเปิดกว้างแก่คนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้บริโภค การซื้อขายสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจะให้ความสะดวกและมีประโยชน์หลายประการ แต่ก็อาจก่อให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริโภคทำนองเดียวกับการซื้อสินค้าหรือใช้บริการในรูปแบบเดิม เพราะลักษณะของอินเทอร์เน็ตคือ
- ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา และสถานที่
- ให้ความสะดวก รวดเร็วในการโฆษณา (ผู้ประกอบธุรกิจ) การซื้อขาย
(ผู้บริโภค)
(ผู้บริโภค)
- เป็นการติดต่อแบบ 2 ทาง (Interactivity) ในรูปแบบมัลติมีเดีย (Multimedia)
- ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจ
- ไม่ทราบตัวบุคคลที่ติดต่อซื้อขาย
- ต้องอาศัยความเชื่อมั่นและไว้วางใจ
- อาจมีการหลอกลวงเช่นเดียวกันธุรกิจในรูปแบบเดิม
3. ถ้านักศึกษาซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ได้รับสินค้าหรือบริการ หรือสินค้าไม่ถูกต้องหรือชำรุดเสียหาย นักศึกษาควรจะทำอย่างไร?
ให้ใช้“พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒“, “พระราชบัญญัติการแข่งขันทาง การค้า พ.ศ. ๒๕๔๒“ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการควบคุมการประกอบการชนิด นั้นๆ กฎหมายสำคัญที่วางหลักการพื้นฐานเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในเรื่องการซื้อขายสินค้าและ บริการคือ
“พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒“ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๔๑ มีหลักการสำคัญเรื่องคุ้ม ครองสิทธิของผู้บริโภค 5 ประการคือ
1) สิทธิที่จะได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่ถูกต้อง
2) สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการ
3) สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริการ
4) สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา และ
5) สิทธิที่จะได้รับการชดเชยความเสียหาย
หลักการทั้ง 5 ประการนี้ได้บัญญัติไว้ในมาตราต่างๆ ของกฎหมายฉบับนี้ คือ การโฆษณาสินค้าและบริการ,การควบคุมฉลาก, การทำสัญญา, การดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคโดยเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้นแนวคิดทางกฎหมายข้างต้นเกิดจากพัฒนาการทางสังคมและท้องถิ่น ในอดีตบุคคล(บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล)มีเสรีภาพในการตกลงเพื่อทำกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใดตามหลักเศรษฐกิจแบบเสรี (Laissez-Faire) การประกอบการค้าแข่งขันอย่าเสรีเปิดโอกาสให้มีการสร้างผลกำไรอย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการซึ่งมีอยู่น้อยรายเมื่อเทียบกับผู้บริโภค
ผู้ประกอบธุรกิจบางรายอาจเอาเปรียบผู้บริโภคเกินสมควร และบางครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย ผู้ซื้ออาจไม่มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น รัฐจึงออกกฎหมายเพื่อบังคับต่อผู้ประกอบธุรกิจบางประเภท เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตามความจำเป็น
4. การประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งเป็นกี่ประเภท
ประเภทของ E-Commerce มี 5 ประเภทดังนี้ 1.ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น 2.ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือ การค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป 3.ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือ การติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น 4.ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G) คือ การประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัด ค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com 5.ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C) ใน ที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย |
