วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

5506105024 สธ314 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ Introduction to Electronic Commerce



ข้อที่ 
คำถามท้ายบท ข้อ


1. Uncitral Model Law on Eletronic Commerce ( 1996 )คืออะไร มีสาระสำคัญอะไรบ้าง?

เป็นต้นแบบสำหรับประเทศที่ต้องการออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนการทำสัญญาทางอิเล็กทรอนิกส์   UNCITRAL  Model Law on E-Commerce  นี้ได้ขยายขอบเขตของความหมายคำว่า  “ หลักฐานเป็นหนังสือ ” และ  “ ลายมือชื่อ ” ให้ครอบคลุมถึงการบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และลายมือชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์   UNCITRAL  Model Law on E-Commerce  มีอิทธิพลต่อการร่างกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในหลานต่อหลายบประเทศทั่วโลก  ตลอดจนได้รับการยอมรับให้เป็นแม่แบบสำหรับประเทศที่ประสงค์จะร่างกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย
ในสหภาพยุโรป  ตั้งแต่ปี พ.ศ.  2540  European  Commission  ได้จัดให้มีการจัดทำ  Directtives  เพื่อให้กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศสมาชิกภายในตลาดร่วม  ( Internal  Market )  มีความสอดคล้องกัน  โดย Directtives  ที่สำคัญสองฉบับคือ  Electronic  Commerce  Directive  และ Electronic  Signatures  Directive  ซึ่งต่างได้รับอิทธิพลมาจาก
ส่วนประเทศร่วมค้าของไทยที่สำคัญอื่นๆ ก็ต่างบัญญัติกฎหมายสำคัญว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยอาศัยต้นแบบจาก UNCITRAL  Model Law on E-Commerce
เช่น  ประเทศมาเลเซียได้บัญญัติ  Digital  Signature  Act ในปี พ.ศ.  2540,  ประเทศสิงคโปร์บัญญัติ Electronic  Transactions  Act  ในปี พ.ศ. 2541ประเทศออสเตรเลียบัญญัติ Electronic Transactions  Act ในปี พ.ศ. 2542 , เขตปกครองพิเศษฮ่องกงบัญญัติ  Electronic  Transactions  Ordinance  ในปี 
พ.ศ. 2543   และ  ประเทศแคนาดาบัญญัติ  Electronic  Transactions  Act  ในปี พ.ศ. 2544


2. ประเทศไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตหรือไม่?

มี กฎหมายไทยให้ความคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตการใช้งานของอินเทอร์เน็ตมิได้จำกัดอยู่เพียงการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเท่านั้น แต่เริ่มมีการทำธุรกรรม ระหว่างกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเกิดการค้าขายรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า พาณิชย์ทางอินเทอร์เน็ต ” (Internet Commerce) มีการคาดการณ์กันว่าภายในปี พ.ศ. 2543 มีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสูงราว 304 ล้านคน (Nua Internet Survey, มีนาคม 2543) ส่วนจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประมาณการณ์ว่ามีอยู่ถึง 3.5 ล้านคน จากการสำรวจของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ (มกราคม 2544) จะเห็นได้ว่าช่องทางดังกล่าวเปิดกว้างแก่คนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้บริโภค การซื้อขายสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจะให้ความสะดวกและมีประโยชน์หลายประการ แต่ก็อาจก่อให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริโภคทำนองเดียวกับการซื้อสินค้าหรือใช้บริการในรูปแบบเดิม เพราะลักษณะของอินเทอร์เน็ตคือ
  - ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา และสถานที่
  - ให้ความสะดวก รวดเร็วในการโฆษณา (ผู้ประกอบธุรกิจ) การซื้อขาย 
                (ผู้บริโภค)
  - เป็นการติดต่อแบบ 2 ทาง (Interactivity) ในรูปแบบมัลติมีเดีย (Multimedia)
  - ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจ
  - ไม่ทราบตัวบุคคลที่ติดต่อซื้อขาย
  - ต้องอาศัยความเชื่อมั่นและไว้วางใจ
  - อาจมีการหลอกลวงเช่นเดียวกันธุรกิจในรูปแบบเดิม


3. ถ้านักศึกษาซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ได้รับสินค้าหรือบริการ หรือสินค้าไม่ถูกต้องหรือชำรุดเสียหาย นักศึกษาควรจะทำอย่างไร?

ให้ใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒“, “พระราชบัญญัติการแข่งขันทาง การค้า พ.ศ. ๒๕๔๒“ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการควบคุมการประกอบการชนิด   นั้นๆ กฎหมายสำคัญที่วางหลักการพื้นฐานเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในเรื่องการซื้อขายสินค้าและ บริการคือ
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒“ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๔๑ มีหลักการสำคัญเรื่องคุ้ม ครองสิทธิของผู้บริโภค ประการคือ
1) สิทธิที่จะได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่ถูกต้อง
2) สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการ
3) สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริการ
4) สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา และ
5) สิทธิที่จะได้รับการชดเชยความเสียหาย
       หลักการทั้ง ประการนี้ได้บัญญัติไว้ในมาตราต่างๆ ของกฎหมายฉบับนี้ คือ การโฆษณาสินค้าและบริการ,การควบคุมฉลากการทำสัญญาการดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคโดยเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้นแนวคิดทางกฎหมายข้างต้นเกิดจากพัฒนาการทางสังคมและท้องถิ่น ในอดีตบุคคล(บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล)มีเสรีภาพในการตกลงเพื่อทำกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใดตามหลักเศรษฐกิจแบบเสรี (Laissez-Faire) การประกอบการค้าแข่งขันอย่าเสรีเปิดโอกาสให้มีการสร้างผลกำไรอย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการซึ่งมีอยู่น้อยรายเมื่อเทียบกับผู้บริโภค
ผู้ประกอบธุรกิจบางรายอาจเอาเปรียบผู้บริโภคเกินสมควร และบางครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย ผู้ซื้ออาจไม่มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น รัฐจึงออกกฎหมายเพื่อบังคับต่อผู้ประกอบธุรกิจบางประเภท เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตามความจำเป็น

4. การประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งเป็นกี่ประเภท

ประเภทของ E-Commerce มี 5 ประเภทดังนี้

        1.ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C)
คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น

         2.ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือ การค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป

       3.ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือ การติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น

      4.ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G)
คือ การประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว   รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัด ค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com

     5.ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C)
ใน ที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ตการให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

งานเดี่ยว E-Commerce

กิจกรรมท้ายบทเรียน

แนบไฟล์ :
http://www.4shared.com/file/mN-rUHbR/_E-Commerce.html?

พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 (กฏหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์)


แนบไฟล์

http://www.4shared.com/office/zUmhK1UO/et_act_2544_des2.html?


 ที่มา

 http://www.etcommission.go.th/index.php?option=com_docman&task=cat_view&gid=108&Itemid=11&lang=en

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2552 สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร
120 ม.3 ชั้น 8 อาคารรวมหน่วยราชการ บี
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพ 10210
โทรศัพท์ 02-141-6991 โทรสาร 02-143-8036-7

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ระบบการชำระเงินของประเทศไทย


ระบบการชำระเงินของประเทศไทย1.    ชำระเงินผ่านผู้ให้บริการรับชำระเงิน-     Paypal.com เป็นบริษัทออนไลน์ที่ให้บริการระบบโอนและชำระเงินผ่าน E-mail ระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค (C2C)-     Counter Services เป็นบริการที่ลูกค้าสามารถไปชำระค่าบริการต่างๆ ผ่านหน้าเคาน์เตอร์2.    ระบบโอนเงินรายย่อย (Online Retail Fund Transfer  หรือ ORFT) คือการโอนเงินข้ามบัญชีระหว่างธนาคาร โดยทำธุรกรรมผ่านเครื่อง ATMข้อจำกัด  จำนวนเงินในการโอนแต่ละวันต้องไม่เกินครั้งละ 20,000 บาท และโอนได้วันละไม่เกิน 100,000 บาท3.     ระบบโอนเงินรายใหญ่ (BAHTNET)-      ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สร้างเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างสถาบันการเงิน ชื่อ BAHTNET-      บริการหลัก คือ การโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน โดยเน้นที่มูลค่าธุรกรรมขนาดใหญ่ ผู้รับเงินสามารถถอนเงินจากบัญชีได้ทันที-      วิธีการชำระเงินแบบมีผลทันที หรือ Real Time Gross Settlement (RTGS)4.      ระบบโอนเงินรายย่อย (Media Clearing) ให้บริการเช่นเดียวกับระบบ BAHTNET แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญ คือ                1.  ระบบ Media Clearing เป็นระบบชำระเงินรายย่อยซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 500,000 บาท                2.  ระบบนี้ไม่มีการโอนเงินแบบมีผลทันที แต่จะรวบรวมธุรกรรมไว้จนถึง   สิ้นวันจึงมีการส่งข้อมูลเข้าทำการชำระบัญชีระหว่างธนาคาร ซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย5.     ระบบโอนเงิน EDI หรือ Financial Electronic Data Interchange (FEDI) เป็นมาตรฐานรูปแบบข้อมูลทางการค้าที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่น การขอใบเสนอราคา การส่งคำสั่งซื้อ การส่งใบขนส่ง การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าในรูปแบบ EDI มักกระทำกันระหว่างองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่6.     ระบบบัตรเครดิต (Credit Card)บัตรเครดิต มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ ในประเทศไทย คือ                1.  บัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารในประเทศ ซึ่งมีขอบเขตการใช้งานและร้านค้าที่รับบัตรน้อย                2.  บัตรเครดิตที่บริหารโดยบริษัทต่างประเทศ เช่น VISA และ MASTER7.      ระบบบัตรเดบิต (Dabit Card)บัตรเดบิตเป็นส่วนผสมระหว่างบัตร ATM และบัตรเครดิต โดยผู้ใช้บัตรจะต้องมีบัญชีเงินฝากจากธนาคารก่อน เมื่อต้องการใช้เงิน ผู้ถือบัตร     เดบิตสามารถถอนเงินจากเครื่อง ATM โดยใช้บัตรของตนเช่นเดียวกับบัตร ATM  ส่วนที่คล้ายบัตรเครดิต คือ ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรเดบิตในการชำระราคาสินค้าหรือบริการตามร้านค้า โดยธนาคารจะหักบัญชีเงินฝากของเจ้าของบัตรเดบิต ไปสู่บัญชีร้านค้าในทันที8.             ธนาคารอินเทอร์เน็ต (Internet Banking) เป็นระบบธนาคารที่อนุญาตให้ลูกค้า ซึ่งมีบัญชีเงินฝากกับธนาคาร สามารถทำธุรกรรมบางประเภทกับธนาคารได้ โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตธนาคารอินเทอร์เน็ตให้บริการเกี่ยวกับวิธีการการชำระเงิน

1.  การดูยอดเงินฝากธนาคาร2.  การโอนเงินในบัญชีระหว่างบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวัน                3.  ธนาคารร่วมกับผู้ให้บริการสาธารณูปโภค อนุญาตให้ผู้ใช้บัญชีธนาคารอินเทอร์เน็ต ชำระค่าบริการโดยหักเงินจากบัญชีธนาคารไปสู่ผู้ให้บริการ9.             ระบบโอนเงินผ่านที่ทำการไปรษณีย์  ในขณะนี้ที่ทำการไปรษณีย์ มีการให้บริการ Pay at Post ซึ่งเป็นการรับชำระเงินจากผู้ใช้บริการหลายราย ไปส่งมอบแก่ผู้ให้บริการเพียงบริษัทเดีย
  • การชำระเงินของ B2C สามารถแบ่งได้เป็นดังต่อไปนี้

1. ระบบโอนเงินรายย่อย Media clearing โดยหักค่าบริการครั้งละ10บาทโอนเงงนได้ไม่เกินครั้งละ500,000บาท2. บัตรเครดิต Credit card เป็นการใช้เงินฝากในอนาคตเพื่อซื้อของปัจจุบันจะมีผู้ให้บริการรายใหญของโลคเช่น nisa master card3. ระบบแสดงใบเรียกเก็บเงินและชำระเงิน eBPP ปัจจุบันมีผู้ให้บริการในประเทศไทยเพียงรายเดียวคือAdvance Business exchange ไม่ค่อยได้รับนิยมเพราะถ้าจะใช้บริการต้องทำสัญญากับบริษัทเจ้าของบริการก่อนทำให้เกิดความไม่สะดวก4.ระบบเช็ค ECS5. ระบบชำระเงินพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ E-commerce payment ถ้าในผู้ใช้ทั่วไปให้ใช้บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตในการสร้างเลขบัญชีเสมือนเพื่อทำธรุกรรมต่างๆ6. ธนาคารอินเตอร์เนต internet banking7. ระบบหักบัญชีอัตโนมัติ Direct Debit/Direct Credit เป็นที่นิยมในการหัดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค8. ระบบโอนเงินรายย่อย ORFT ระบบนี้ถกพํฒนาโดยสมาคมธนาคราแห่งประเทศไทย9. บัตรเดบิต10. ระบบโอนเงินที่ทำการไปรษณีย์11. ระบบโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT12.ระบบโอนเงินระหว่างประเทศ Western Unionนอกจากนี้ยังมีระบบการจัดการชำระเงินอื่นๆ ที่มีความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นระบบ Payment Gateway, Banking, mPay, True money ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการทำ e-Commerce ที่ให้ความสะดวกและปลอดภัย
  • การชำระเงินของ B2B

1. ระบบโอนเงินรายใหญ่ BATHNET คิดค่าบริการโอนครั้งละ250บาทจึงเหมาะกับการใช้งานในรูปบบธุรกิจมากกว่าการใช้งานของผู้ใช้ทั่วไปโดยที่บริการบาทเน็ตทำงานผ่านระบบธนาคราแห่งประเทศไทยโดยปัจจุบันใช้ระบบ BATHNET/2 โดยที่ระบบใหม่นี้สารมารถทำธุรกรรมส่งมอบและชำระราคาพร้อมกันได้แบบมีผลทันที2.ระบบเช็ค ECS3. ระบบชำระเงินพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ E-commerce payment โดยที่ระบบนี้ก็ยังเหมาะกับบริษํทั่วไปที่จัดการด้านการซื้อขายต่างๆ4. ธนาคารอินเตอร์เนต internet banking5. ระบบโอนเงิน EDI ถือว่าเป็นระบบที่มีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง


วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555